สัปดาห์ที่ 15


NPU Model


1.NPU Model  ของ ผศ.ดร.พิจิตรา ธงพานิช
2.NPU Model ของ นางสาวจุฑาทิพย์   พลสิทธิ์




3.อธิบาย NPU Model
Need Analysis
การวิเคราะห์ความต้องการ (Need Analysis)  ความต้องการ (Need) คือ ความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เป็นอยู่กับสิ่งที่คาดหวังให้เป็นไป เช่น ความแตกต่างระหว่างผลงานที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลทำออกมากับมาตรฐานที่กำหนด ความไม่เหมือนกันของ สิ่งที่บุคคลผู้หนึ่งมีกับสิ่งที่ผู้ต้องการอยากให้มี การวิเคราะห์ความต้องการจึงเป็นการหาให้พบว่า กลุ่มบุคคล เป้าหมายปฏิบัติงานได้ต่ำกว่าระดับที่องค์การต้องการ (Gap) เพียงใด เป็นการวิเคราะห์ว่าบุคลากรกลุ่มเป้าหมาย ที่ศึกษานั้น ได้ปฏิบัติงานได้ถึงระดับที่องค์กรต้องการหรือไม่ ทั้งโดยชนิด ปริมาณงาน คุณภาพของงาน ความต้องการเหล่านี้สามารถใช้วิธีใดพัฒนาให้ดีขึ้นมาอยู่ในระดับที่องค์การต้องการ เช่น ด้วยการฝึกอบรมบุคลากร ที่เกี่ยวข้อง หรือด้านการพัฒนากระบวนการทำงาน หรือด้วยการจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือเพิ่มเติม หรือด้วยการ พัฒนาทางการบริหารอื่น ๆ สำหรับความต้องการขององค์การที่สามารถตอบสนองได้ด้วยการจัดการฝึกอบรมให้แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้อง เรียกว่า ความจำเป็นในการฝึกอบรม (Training Needs) ซึ่งจะได้มาจากกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการ ความจำเป็นในการฝึกอบรมนี้เมื่อวิเคราะห์จากข้อมูลที่รวบรวมก็สามารถค้นหาเป้าหมายในการฝึกอบรม (Instructional Goals) ที่จะสนองความต้องการจากข้อมูลที่มีอยู่เพื่อประกอบการกำหนดแผนและหลักสูตรฝึกอบรม ให้แก่บุคลากรในองค์การที่เกี่ยวข้องต่อไป การวิเคราะห์ความต้องการตามแนวทางของ Designer’s Edge มีวิธีการดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้
1.การรวบรวมข่าวสารและเก็บข้อมูล
การรวบรวมข่าวสารและเก็บข้อมูลมีความสำคัญเพราะทำให้รู้ว่าความต้องการคืออะไร ผู้รับการฝึกอบรมมีคุณลักษณะและความสามารถในปัจจุบันอย่างไร มีความต้องการอะไรบ้าง หากเก็บข้อมูล ได้อย่างถูกต้องก็จะรู้ได้ว่า การฝึกอบรมที่จะจัดขึ้นสำหรับบุคลากรกลุ่มเป้าหมายต้องใช้หลักสูตรที่มีเนื้อหาอย่าไร ปกติโดยทั่วไปจะเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ผู้บริหารสนใจอยากพัฒนาก่อน หรือระบุไว้ในแผนกลยุทธ์ของหน่วยงาน ในการเก็บข้อมูลควรเก็บให้ได้มากที่สุด แบบ ๓๖๐ องศา (๓๖๐ Degree feedback)
2.การระบุความต้องการ
            การระบุความจำเป็นหรือความต้องการเป็นการเขียนประโยคที่อธิบายสั้นๆ ให้เห็นความแตกต่างระหว่างสิ่งที่กำลังเป็นอยู่กับสิ่งที่ควรจะเป็นหรือสิ่งที่องค์กรคาดหวัง ซึ่งช่องว่างของความแตกต่างนี้อาจจะเป็นได้ทั้งผลงานจากตัวบุคลากร จากหน่วยงานหรือจากองค์การที่เป็นอยู่ สิ่งสำคัญในการระบุความต้องการจะต้องเขียนออกมาเป็นคำพูดว่าความต้องการหรือปัญหาในการทำงานนั้นคืออะไร เพราะคำพูด เหล่านี้จะทำให้เราสามารถสร้างวัตถุประสงค์ในการฝึกอบรมได้ตรงกับความต้องการหรือปัญหานั้นแนวทางการแก้ไขความต้องการขององค์กร
3.การเขียนเป้าหมายการฝึกอบรมและการจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วน
            การเขียนเป้าหมายการฝึกอบรมและการจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วน
เป้าหมายในการในการฝึกอบรม (Instructional Goals) คือ สิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนทำได้ หลังจากจบการฝึกอบรม เป้าหมายการฝึกอบรมจะต้องวิเคราะห์มาจากเป้าหมายขององค์การ การค้นหาความต้องการ และจากประสบการณ์ หรือการสังเกต การเขียนเป้าหมายในการฝึกอบรมต้องเขียนเป็นประโยคสามัญที่กล่าวถึงผลลัพธ์ของผู้เรียนที่ชัดเจน มีความสัมพันธ์กับปัญหาและความต้องการที่กำหนดไว้ในประเด็นหนึ่ง ๆ และสามารถทำให้สัมฤทธิ์ผลได้จากการฝึกอบรม มากกว่าด้วยวิธีอื่น      
4. การเขียนรายงานการวิเคราะห์ความต้องการ
            การเขียนรายงานต้องกระบุความต้องการทุกประเด็นที่วิเคราะห์มาได้ แยกประเภทความต้องการ (ด่วนจำเป็นอนาคต) ชนิดของการแก้ปัญหา (การฝึกอบรมเครื่องมือทรัพยากร ฯลฯ ) รวมถึงเป้าหมาย ในการฝึกอบรม และจัดความสำคัญเร่งด่วน (วิกฤติสูงกลางต่ำ) ซึ่งข้อมูลที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหาร และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ในการวางแนวทางในการจัดฝึกอบรม การวิเคราะห์สภาพในองค์การ รวมถึงการปรับปรุงทางการบริหารต่าง ๆ
5. การขอความเห็นชอบ
            เป็นการส่งรายงานที่วิเคราะห์ได้ให้กับผู้สนใจและผู้บริหารที่มีอำนาจในการตัดสินใจ เพื่อจัดการฝึกอบรม ทำให้รู้ถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับความต้องการขององค์การ และรายงานนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการกำหนดแผนการพัฒนาบุคลากรให้เกิดประสิทธิภาพได้ต่อไป
 Praxis
คือกระบวนการที่ ทฤษฎี บทเรียนหรือทักษะถูกตราขึ้นเป็นตัวเป็นตนหรือตระหนัก "แพรคซิส" อาจหมายถึงการกระทำของการมีส่วนร่วมการใช้การออกกำลังกายการตระหนักถึงหรือการฝึกความคิด
มาร์กซิสต์ เป็นหนึ่งในนักปรัชญาที่เก่าแก่ที่สุดที่ใช้คำว่า praxis เป็นความหมาย "การดำเนินการต่อสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
การศึกษา
Praxis ถูกใช้โดยนักการศึกษาเพื่ออธิบายเส้นทางที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ผ่านกระบวนการวัฏจักรของ การเรียนรู้
Praxis อาจถูกอธิบายว่าเป็นรูปแบบของการคิดเชิงวิพากษ์และประกอบด้วยการรวมกันของการสะท้อนและการกระทำ Praxis สามารถมองได้ว่าเป็นความคืบหน้าของการกระทำทางปัญญาและทางกายภาพ
1.ดำเนินการ
2.พิจารณาผลกระทบของการกระทำ
3.การวิเคราะห์ผลของการดำเนินการโดยการสะท้อนถึงสิ่งนั้น
4.การแก้ไขและแก้ไขแนวความคิดและการวางแผนตามการสะท้อน
5.การดำเนินการตามแผนเหล่านี้ในการดำเนินการต่อไป
Understanding
ในการดำเนินชีวิตประจำวันเกี่ยวข้องกับการรู้ (to know) และการรับรู้ (perception) โดยมีประสาท
สัมผัสทั้งห้า และใจเป็นตัวรู้อารมณ์ และนำไปสู่ความรู้สึกและความเข้าใจ ดังนั้นการแสดงอาการความเข้าใจโดยการตอบรับด้วยอาการ ผยักหน้า หรือส่งเสียงบอกให้ทราบอย่างใด อย่างหนึ่ง ครับ คะ โอเค ในภาษาอังกฤษ ก็คือ yes , ok, I see , I get ที่กล่าวมาเป็นการรับรู้และเข้าใจ อาจจะมาจากคำถามว่า รู้เรื่องไหม เข้าใจไหม รู้หรือเปล่า
ซึ่งบางครั้งมีความหมายไปในทางที่การรู้อย่างเดียวก็อาจไม่เข้าใจก็ได้เช่นรู้แต่ทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ ดังนั้นความเข้าใจจึงมีหลายระดับ I see อาจเป็นความเข้าใจที่ผิวเผิน กว่า I get ยังมีความเข้าใจที่นำมาใช้เป็นทางการมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ใช้ในการเรียนการสอน ได้แก่คำว่า comprehension กับคำว่า understanding เป็นคำที่มีความหมายเดียวกันแต่คำว่า understand จะใช้ในภาษาพูดมากกว่า comphehension นั้นเป็นการสร้างความหมาย (construction of meaning) ในแง่นี้การสร้างความหมายของแต่ละคนก็อาจแตกต่างกันไปก็คือเข้าใจแตกต่างกันไปด้วยในแต่ละคน ส่วนคำว่า understanding เป็นความเข้าใจที่ต้องใช้ความรู้เดิมที่มีอยู่แล้วมาช่วยในการสร้างความรู้ใหม่ที่มีความหมายไปไกลกว่าสารสนเทศที่ให้มาหรือที่ได้รับมาและความรู้พื้นฐาน (ความรู้ที่มีอยู่เดิม) ซึ่งนำมาเป็นหลักฐานในการสร้างความรู้ใหม่มากกว่าที่จะดึงเอามาจากความจำประจำตัว

4.อธิบาย NPU
N = Planing
วางแผนเขียนเป็นปรัชญา / วิสัยทัศน์/พันธกิจ / จุดหมายของหลักสูตร / ส่วนนี้คือ creativity ที่เป็น planning

 วิสัยทัศน์  เป้าหมาย  ภารกิจของโรงเรียนอนุบาลสกลนคร
วิสัยทัศน์ (Vision)
โรงเรียนอนุบาลสกลนครมุ่งสร้างความรู้  คู่คุณธรรม  ก้าวนำวิทยาการ  ประสานชุมชน  เยาวชนรอบรู้  ควบคู่อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย  ร่วมใจพัฒนาสิ่งแวดล้อม  สมบูรณ์พร้อมพลานามัย  ห่งไกลยาเสพติด
เป้าหมาย
โรงเรียนอนุบาลสกลนครมีเป้าหมายการดำเนินงานตามแผนที่กำหนดไว้ในธรรมนูญโรงเรียน (..2545 – 2547)  ดังนี้
1.โรงเรียนมีระบบบริหารและการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ
2.โรงเรียนมีมาตรฐานด้านกระบวนการ  ผ่านเกณฑ์มาตรฐานการศึกษาที่สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกาาแห่งชาติกำหนด
3.นักเรียนมีมาตรฐานด้านผลผลิตผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษากำหนด
4.นักเรียนมีสุขภาพกายที่สมบูรณ์แข็งแรง  เป็นผู้มีคุณธรรม  จริยธรรม  ห่างไกลยาเสพติด  มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามที่สังคมและประเทศชาติต้องการ
ภารกิจของโรงเรียน
1.จัดการศึกษาให้บรรลุตามจุดประสงค์ของหลักสูตรระดับก่อนประถมศึกษาพุทธศักราช  2546  และหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน  พุทธศักราช  2544
2.พัฒนาระบบบริหารและการจัดการของโรงเรียนให้สนองต่อพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ  พ..2542
3.พัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยการคิดค้นสร้างและสรุปความรู้ด้วยตนเอง  เน้นกลุ่มทักษะภาษาไทย  คณิตศาสตร์  วิทยาศาสตร์และภาษาอังกฤษ
4.จัดหาเครื่องมือ  วัสดุ  สื่อการสอนต่าง ๆและเทคโนโลยีที่ทันสมัยให้เพียงพอต่อการใช้ประโยชน์และพัฒนาคุณภาพการปฏิบัติงาน
5.พัฒนาอาคารสถานที่และจัดสภาพแวดล้อมทั้งภายในภายนอกอาคารเรียนและบริเวณโรงเรียนเอื้อต่อการเรียนการสอนก่อให้เกิดความภาคภูมิใจและประทับใจ  น่าดู  น่าอยู่  น่าเรียน
6.พัฒนาบุคลากรให้มีความรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ของตนเอง  มีการพัฒนาตนเองพัฒนางานให้ทันสมัยอยู่เสมอ  มีขวัญและกำลังใจที่ดี
7.โรงเรียนและชุมชนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน  ร่วมกันกำหนดเป้าหมายเพื่อพัฒนาโรงเรียนและชุมชน
P = Generating
ออกแบบและจัดหลักสูตร (design & organize ) เขียนเป็นสาระในหลักสูตร วิชาบังคับ วิชาเลือก / ความรู้ ทักษะ สมรรถนะ เมื่อจบหลักสูตร / creativity = generating การทำให้หลักสูตรปรากฏ มีขึ้น / กรณีนี้อาจเขียนเป็น course syllabus

 -หลักสูตรโรงเรียนอนุบาลสกลนคร 
-หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2546  
-หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย2560
 สาระการเรียนรู้
สาระการเรียนรู้ใช้เป็นสื่อกลางในการจัดกิจกรรมให้กับเด็ก  เพื่อส่งเสริมพัฒนาการทุกด้าน  ทั้งด้านร่างกาย  อารมณ์  จิตใจ  สังคม  และสติปัญญา  ซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนาเด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์  ทั้งนี้สาระการเรียนรู้ประกอบด้วย  องค์ความรู้  ทักษะหรือกระบวนการ  และคุณลักษณะหรือค่านิยม  คุณธรรม  จริยธรรม  ความรู้สำหรับเด็กอายุ 3 – 5 ปี  จะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวเด็ก  บุคคลและสถานที่ที่แวดล้อมเด็ก  ธรรมชาติรอบตัว  และสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเด็กที่เด็กมีโอกาสใกล้ชิดหรือมีปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวันและเป็นสิ่งที่เด็กสนใจ  จะไม่เน้นเนื้อหา  การท่องจำในส่วนที่เกี่ยวข้องกับทักษะหรือกระบวนการจำเป็นต้องบูรณาการทักษะที่สำคัญและจำเป็นสำหรับเด็ก  เช่น  ทักษะการเคลื่อนไหว  ทักษะทางสังคม  ทักษะการคิด  ทักษะการใช้ภาษา  คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เป็นต้น  ขณะเดียวกันควรปลูกฝังให้เด็กเกิดเจตคติที่ดี  มีค่านิยมที่พึงประสงค์  เช่น  ความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น  รักการเรียนรู้  รักธรรมชาติสิ่งแวดล้อม  และมีคุณธรรม  จริยธรรม  ที่เหมาะสมกับวัย  เป็นต้น
ผู้สอนหรือผู้จัดการศึกษา  อาจนำสาระการเรียนรู้มาจัดในลักษณะหน่วยการสอนแบบบูรณาการหรือเลือกใช้วิธีการที่สอดคล้องกับปรัชญาและหลักการจัดการศึกษาปฐมวัย  สาระการเรียนรู้กำหนดเป็น  2  ส่วน  ดังนี้
1.ประสบการณ์สำคัญ
ประสบการณ์สำคัญเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาเด็กทางด้านร่างกาย  อารมณ์  จิตใจ  สังคม  และสติปัญญาช่วยให้เด็กเกิดทักษะที่สำคัญสำหรับการสร้างองค์ความรู้  โดยให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับวัตถุ  สิ่งของ  บุคคลต่าง ๆที่อยู่รอบตัว  รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม  จริยธรรมไปพร้อมกันด้วย  ประสบการณ์สำคัญมีดังนี้
1.1ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย 
1.2ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ 
1.3ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม 
1.4ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา 
2.สาระที่ควรเรียนรู้
สาระที่ควรเรียนรู้  เป็นเรื่องราวรอบตัวเด็กที่นำมาเป็นสื่อในการจัดกิจกรรมให้เด็กเกิด
การเรียนรู้  ไม่เน้นการท่องจำเนื้อหา  ผู้สอนสามารถกำหนดรายละเอียดขึ้นเองให้สอดคล้องกับวัย  ความต้องการ  และความสนใจของเด็ก  โดยให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์สำคัญที่ระบุไว้ข้างต้น  ทั้งนี้อาจยืดหยุ่นเนื้อหาได้  โดยคำนึงถึงประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมในชีวิตจริงของเด็ก  สาระที่เด็กอายุ 3 – 5  ปี  ควรเรียนรู้  มีดังนี้
1.เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก  เด็กควรรู้จักชื่อ  นามสกุล  รูปร่าง  หน้าตา  รู้จักอวัยวะต่างๆ วิธีรักษาร่างกายให้สะอาด  ปลอดภัย  เรียนรู้ที่จะเล่นและทำสิ่งต่าง ๆด้วยตนเองคนเดียว  หรือกับผู้อื่น  ตลอดจนเรียนรู้ที่จะแสดงความคิดเห็น  ความรู้สึก  และแสดงมารยาทที่ดี
2.เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก  เด็กควรได้มีโอกาสรู้จักและรับรู้เรื่องราวกับครอบครัว  สถานศึกษา  ชุมชน  รวมทั้งบุคคลต่าง ๆที่เด็กต้องเกี่ยวข้อง  หรือมีโอกาสใกล้ชิดและมีปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน
3.ธรรมชาติรอบตัว  เด็กควรจะได้เรียนรู้สิ่งมีชีวิต  สิ่งไม่มีชีวิต  รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงของโลกที่แวดล้อมเด็กตามธรรมชาติ  เช่นฤดูกาล  กลางวัน  กลางคืน  ฯลฯ
4.  สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเด็ก  เด็กควรจะได้รู้จักสี  ขนาด  รูปร่าง  รูปทรง  น้ำหนัก  ผิวสัมผัสของสิ่งต่าง ๆรอบตัว  สิ่งของเครื่องใช้  ยานพาหนะ  และการสื่อสารต่าง ๆ  ที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน
U = Producing
หลักสูตร evaluation
เขียนเป็นระดับคุณภาพตาม SOLO Taxonomy / ได้ 1 คะแนนมีความรู้ในเนื้อหา
ขั้นเลียนแบบ / ได้ 2 คะแนนมี 1 + มีทักษะจากการใช้ความรู้ฝึกฝน
ขั้นประยุกต์ / ได้ 3 คะแนน ต้องมี 1 และ 2 ขั้นสร้างสรรค์
การประเมินพัฒนาการ
                        การประเมินพัฒนาการเด็กอายุ  3 – 5  ปี  เป็นการประเมินพัฒนาการทางด้านร่างกาย  อารมณ์  จิตใจ  สังคม  และสติปัญญาของเด็ก  โดยถือเป็นกระบวนการต่อเนื่องและเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมปกติที่จัดให้เด็กในแต่ละวัน  ทั้งนี้ให้มุ่งนำข้อมูลการประเมินมาพิจารณา  ปรับปรุง  วางแผนการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมให้เด็กแต่ละคนได้รับการพัฒนาตามจุดหมายของหลักสูตร  การประเมินพัฒนาการควรยึดหลัก  ดังนี้
1. ประเมินพัฒนาการของเด็กครบทุกด้านและนำผลมาพัฒนาเด็ก
2. ประเมินเป็นรายบุคคลอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องตลอดปี
3. สภาพการประเมินควรมีลักษณะเช่นเดียวกับการปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน
4. ประเมินอย่างเป็นระบบ มีการวางแผน เลือกใช้เครื่องมือและจดบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
5. ประเมินตามสภาพจริงด้วยวิธีการหลากหลายเหมาะกับเด็ก  รวมทั้งใช้แหล่งข้อมูลหลาย ๆด้าน ไม่ควรใช้การทดสอบ
สำหรับวิธีการประเมินที่เหมาะสมและควรใช้กับเด็กอายุ 3 – 5 ปี  ได้แก่การสังเกตการบันทึกพฤติกรรม  การสนทนา  การสัมภาษณ์  การวิเคราะห์ข้อมูลจากผลงานเด็กที่เก็บอย่างมีระบบ
หลักการประเมินพัฒนาการ
1. ประเมินพัฒนาการของเด็กครบทุกด้านและนำผลมาพัฒนาเด็ก
2. ประเมินเป็นรายบุคคลอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องตลอดปี
3. สภาพการประเมินควรมีลักษณะเช่นเดียวกับการปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน
4. ประเมินอย่างเป็นระบบมีการวางแผนเลือกใช้เครื่องมือและจดบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
5. ประเมินตามสภาพจริงด้วยวิธีการหลากหลายเหมาะกับเด็ก  รวมทั้งใช้ข้อมูลหลาย ๆด้าน  ไม่ควรใช้การทดสอบ
วิธีการประเมิน
            จัดให้มีการประเมินพัฒนาการเด็กทุกด้านโดยใช้
-การสังเกตและบันทึกพฤติกรรมของเด็ก
-การสัมภาษณ์  สนทนา  ซักถามเด็ก
-การสัมภาษณ์  สนทนา  ซักถามผู้ปกครอง
-การตรวจผลงาน  ประเมินชิ้นงานอย่างต่อเนื่อง
-การจัดนิทรรศการแสดงผลงาน
เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน
-แบบสำรวจจากพฤติกรรมของเด็ก
-แบบบันทึกการเลือกเล่นตามมุม
-แบบบันทึกสุขภาพ
-แบบสัมภาษณ์
-แบบสังเกตพฤติกรรม
        












ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น